สวัสดีค่ะ ไม่มีอะไรมาก แค่รู้สึกว่าอยากอัปเดตความเป็นไปของตัวเอง + พร่ำเพ้อเรื่องการเขียนเล็กน้อย บางวันที่เขียนไม่ออกก็มาเขียน blog แทน น่าจะทดแทนกันได้นะ 😁
ตอนนี้อยู่ในช่วงเขียนต้นฉบับน้องหงส์เล่มจบอยู่ เป็น 1st draft เวอร์ชัน 2 เพราะไม่พอใจกับเวอร์ชันแรกเท่าไร เขียนได้ประมาณ 20,000 คำแล้วค่ะ (จากเป้าหมาย 140,000 คำ… สั่น)
ระหว่างเขียนก็รู้สึกถึงสิ่งที่แตกต่างได้ว่า สมัยก่อนได้ไอเดียปุ๊บก็เขียนไหลไปเรื่อย ๆ แต่ตอนนี้ (อย่างน้อยก็เรื่องน้องหงส์) เรามีภาพในหัวตั้งแต่ต้นจนจบ เขาเรียกว่าไง? มี vision ที่อยากไปให้ถึง แล้วเล่ม 3 ก็คือเล่มจบที่จะต้องเขียนไปให้ถึงจุดนั้นให้ได้ เป็นจุดที่ตัวเราตอนเริ่มเขียนเรื่องนี้ตั้งเป้าและเฝ้าฝันมาตลอด
ดังนั้นสิ่งที่น่าภูมิใจมาก ๆ เลยก็คือ… เออ เราก็มั่นคงกับ vision ในหัวเราได้ 100% แล้วน้อ
(ปกติสมัยก่อนเขียนไปลงเว็บไป แล้วจิตอ่อนอีก 💦 โดนนักอ่านด่าทีโลกแทบแตก 55555 กับดักนักเขียนอย่างแรกเลยคือ เราพยายามทำให้ทุกคนพึงพอใจกับนิยาย แต่มันเป็นไปไม่ได้ มีคนชอบก็มีคนไม่ชอบ ทุกการตัดสินใจในการเขียนพล็อตจะแบ่งฝั่งคนอ่านอย่างแน่นอน ฉะนั้นยึดในสิ่งที่เราอยากเขียน ยึดใน vision ของเราเถอะค่ะ)
พอมีภาพในหัวชัดเจน เราก็จะใช้เวลาวางนั่นนี่+research ระยะหนึ่งก่อนจะเริ่มเขียน ก็จะวาง world-building กับพล็อต, แก่นเรื่อง, ไดนามิกพระนาย, ตัวละครบางส่วนไว้ก่อน จากนั้นก็วางทรีตเมนต์ (ปกติไม่เขียนละเอียด เขียนคร่าว ๆ ให้รู้ไอเดียเฉย ๆ) พยายามไม่ให้มันรัดกุมเกิน ชอบให้มีช่องว่างตรงนั้นตรงนี้ เอาหลวม ๆ เพราะตอนเขียนจริงจะปล่อยไหล พอเขียนแบบนี้ ตัวละครก็จะค่อย ๆ ช่วยเติมช่องว่างต่าง ๆ เอง
นี่รู้สึกว่างานเขียนของเรามันให้ตัวละครแบกเยอะด้วยแหละค่ะ 😂 เลยต้องให้ช่องว่างในด้านพล็อตเอยอะไรเอยเยอะ อย่างที่นักเขียนท่านอื่นชอบล้อกัน บางทีตัวละครก็ดิ้นได้เอง เลือกทางเดินเอง (แต่ก็พยายามคุมไม่ให้หลุดความตั้งใจหลักเรานะ)
เล่มนี้เป็นช่วงที่กลับมาอินกับการดูหนังมากขึ้น ภาพในหัวส่วนใหญ่เลยเป็นจังหวะภาพยนตร์ซะเยอะ
บวกกับเป็นคนที่เวลาทำงาน ถ้าเป็นงานก้อนใหญ่ 1 ก้อนเลยจะตัน ปกติก็ต้องสับแบ่งพาร์ตแบบนี้ เอามาใช้กับการเล่าเรื่องก็ดีค่ะ ทำให้เข้าใจจังหวะการเล่ามากขึ้น (แต่จะเวิร์กกับนักอ่านไหม อันนี้ไม่รู้เลย ฮาาา)
← ที่เห็น Part 1-3 คืออยากให้นักอ่านอ่านแล้วรู้สึกว่า เออ เรากำลังเดินไปข้างหน้า ฟีลว่า progress through each stage อยู่นะ อยากให้บรรยากาศมันยิ่งใหญ่ โอ่อ่า grandiose ประมาณนั้น (เหมือนละครเวที) 👍
ปูเรื่อง → Part 1 → Part 2 → Part 3 (จบ) → ตอนพิเศษ
ให้ลองนึกภาพดูหนังแล้วจะมีฉากที่เป็นจอดำ ขึ้นตัวอักษรว่า Part I: …. นั่นแหละค่ะ อยากได้ฟีลนั้น เติมเต็มความเบียวเหมือนได้ทำหนังดี 🫡
สำหรับน้องหงส์เล่ม 3 เป็นเล่มที่ต้องเล่าบทสรุปพล็อตกับทุกตัวละคร ในความรู้สึกของคนเขียน (อย่างน้อยก็เรา) จะรู้สึกตื่นเต้นและอยากเขียนที่สุด เพราะมันไม่ต้องมีช่วงปูเรื่อง (exposition) หนัก ๆ แล้ว เรา get in action ได้เลย ก็เลยค่อนข้างโหยหวนตอนเขียนน้อยกว่าเล่มอื่นที่แบบ… ทำไมไม่มีอะไรมัน ๆ เกิดขึ้นสักทีน้อ 🤣 (แต่ Chapter 18-20 นั่นก็ยังเป็นเกริ่นเรื่องอยู่นะ)
เอาเป็นว่าก็เขียนต่อ เขียนให้จบ! อยากรู้จุดจบของเรื่องราวเหมือนกันค่ะ! ต๊อกแต๊ก ๆๆๆ 🧑🏻💻✨✨✨✨✨
อนึ่ง เรารู้สึกว่าแอคทวิตเตอร์เรามียอดฟอลเป็นหมื่น แต่จริง ๆ แล้วไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นนักเขียนชื่อดังอะไรขนาดนั้นเลย เราว่าออกนอกทวิตเตอร์ไป นักอ่านส่วนใหญ่ก็ไม่น่าจะรู้จักเราค่ะ 🤣
อันนี้ไม่ได้จะท้อแท้หรืออะไร แค่จะเล่าว่า พอมองอย่างนั้น บวกกับได้ทำงานกับสนพ.เป็นครั้งแรก (หรือจริง ๆ ก็ตั้งแต่ลงพี่ขนมปังกับเว็บมารี้ดส์) เราก็รู้สึกว่าได้เรียนรู้อะไรมามากมายจริง ๆ
เช่น วิธีอ่านแล้วจดรายละเอียดเนื้อหา เหมือนทำทรีตเมนต์อีกรอบเพื่อมาไล่เช็กว่าตรงนี้คือปมนะ ตรงนี้คือปริศนา ไว้ย้ำเตือนตัวเองว่าต้องเฉลยอะไรบ้าง ฯลฯ อันนี้ก็ได้มาจากตอนไปคุยกับทีมงานมารี้ดส์ค่ะ ชอบวิธีนี้มาก เลยเก็บมาใช้ต่อไป
เข้าเรื่องต่อ ก็คือพอได้ทำงานกับคนมากขึ้น ได้เข้าไปอยู่ในกระบวนการโต้ตอบ/โดน challenged ในสิ่งที่เราเขียน มันก็ทำให้รู้สึกว่าที่ผ่านมาตัวเองเบบี๋มาก เหมือนเพิ่งออกจากเซฟโซนเป็นครั้งแรก
เรารู้สึกว่าโลกมันใหญ่มาก มันมีโลกที่กว้างกว่าที่เรารู้จักเสียอีก มีนักเขียนที่เก่งและน่าทึ่งเยอะมากข้างนอกนั่น และเราก็ตื่นเต้นแหละ เราอยากเขียนในสิ่งที่ตัวเองมีแพชชั่นและมีภาพในหัว เราตื่นเต้นกับอนาคตว่าจะเป็นยังไงต่อ และคงมีอะไรให้เรียนรู้อีกเยอะ
ซึ่ง… ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เราเพิ่งได้สัมผัสเลยค่ะ ความรู้สึกตื่นเต้นหลังจากที่ผ่านมาเป็นความสิ้นหวัง ดำดิ่งนิด ๆ…
ก่อนหน้านี้เราประสบปัญหาเรื่องหมดไฟในการเขียน แต่พอมาพิจารณาดูในตอนนี้ มันไม่ใช่การหมดไฟ มันคือช่วงเปลี่ยนผ่านจริง ๆ เป็นช่วงที่เราทิ้ง identity เก่า กำลังลองก้าวเข้าไปใน identity ใหม่ เราไม่เคยหมดไฟ (แต่มีท้อจนอยากเลิก อันนี้ปกติของนักเขียน 5555) เราแค่ไม่รู้ว่าตัวเองต้องทำยังไงต่อ ไม่รู้ว่าต้องมองอนาคตยังไง การเขียนในขณะนั้นของตัวเองดีพอแล้วหรือ? ต้องทำยังไงต่อล่ะ?